วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557



อุทยานแห่งชาติกุยบุรี


อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมในท้องที่ ตำบลเขาจ้าง อำเภอปราณบุรี ตำบลศิลาลัย ตำบลศาลาลัย ตำบลไร่เก่า ตำบลไร่ใหม่ กิ่งอำเภอสามร้อยยอด อำเภอปราณบุรี ตำบลหาดขาม ตำบลสามกระทาย ตำบลกุยบุรี และตำบลบ่อนออก ตำบลอ่าวน้อย ตำบลเกาะหลัก ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นป่าต้นน้ำลำธาร ประกอบด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า สัตว์ป่า ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงาม เพื่อให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษา และ รื่นรมย์ของประชาชน มีเนื้อที่ประมาณ 969 ตารางกิโลเมตร หรือ 605,625 ไร่ ได้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2542






ความเป็นมา : จากสถานการณ์ป่าไม้ในปัจจุบันพบว่า พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายจนน่าวิตกว่าจะมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะรักษาสภาพสมดุลธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดกรณีอันน่าสลด หากไม่เร่งดำเนินการรักษาสภาพธรรมชาติเอาไว้ ดังนั้น กรมป่าไม้จึงมีคำสั่ง ที่ 475/2532 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2532 ให้ นายจุมพล เจริญสุขพาณิชย์ เจ้าพนักงานป่าไม้ 4 กองอุทยานแห่งชาติไปดำเนินการสำรวจเบื้องต้นที่ป่าบริเวณวนอุทยานปราณบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองเก่า-คลองคอย และกรมป่าไม้มีคำสั่ง ที่ 1627/2532 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2532 ให้นายสรรเพชร ราคา เจ้าพนักงานป่าไม้ 5 กองอุทยานแห่งชาติ ไปดำเนินการสำรวจเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการจัดตั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยให้ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี 





พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ พลองทะลายเขา เขล็ง กระชิด พลวง สมอ ตะเคียนหิน มะไฟป่า พืชตระกูลปาล์มชนิดต่าง ๆ เช่น หมากเขียว หวายชนิดต่าง ๆ เตาร้าง โดยเฉพาะหวายมีเป็นจำนวนมาก พืชชั้นล่างหลายชนิด เช่น พวกวงศ์ขิง ข่า เฟิร์น บอน เป็นต้น

สำหรับสัตว์ป่ายังมีชุกชุม เนื่องจากมีแหล่งน้ำและอาหารสมบูรณ์ สัตว์ป่าทั่วไป ได้แก่ ช้าง กระทิง วัวแดง กวางป่า หมี เก้ง สมเสร็จ ชะนี ลิง ค่างชนิดต่าง ๆ เลียงผา กระจง หมูป่า กระต่ายป่า ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีนกชนิดต่าง ๆ เช่น นกเงือก นกการัง ไก่ป่า นกระวังไพร นกกางเขนดง นกเขา นกกระยางกรอก นกกระยางแดง และยังมีสัตว์เลื้อยคลานได้แก่ พวกเต่า ตะพาบน้ำ และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ได้แก่ กบฑูต คางคก เขียด และปลาชนิดต่าง ๆ










ชมช้างป่า ณ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี (คู่หูเดินทาง)
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี นับเป็นอุทยานแห่งชาติครั้งที่ 90 ของประเทศ มีอาณาเขตครอบคลุม 4 อำเภอ คือ อำเภอปราณบุรี อำเภอสามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี และอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ โดยเฉพาะกับ "ช้าง" ที่มักลงมาหาอาหารกินที่เชิงป่าชายเขาท้องที่บ้านรวมไทย ซึ่งวันนี้เราจะพาไปชม "ช้างป่า" และ "กระทิง" ณ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี กัน

อุทยานแห่งชาติกุยบุรี หรือที่รู้จักกันดีในนาม "ป่าซาฟารีเมืองไทย" ด้วยเพราะผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ "ช้างป่า" ที่อยู่กันอย่างชุกชุม และเหล่าฝูงวัวกระทิง ที่จะออกมาหาอาหารกินในช่วงเย็น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ประมาณ 15.00 – 18.00 น. และต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ในการนำทาง หากไม่ได้ขับรถกระบะมา ก็มีบริการพาเที่ยวด้วยรถยนต์ของชาวบ้านผู้ชำนาญพื้นที่ ครั้งละประมาณ 700 บาท



ระหว่างทางที่ขับเข้าไปจะเห็นขี้ช้างอยู่เต็มถนนไปหมด แต่ก็ยังไม่เจอตัวช้างสักที แต่พอมาถึงยังจุดของอุทยานฯ ด้านใน บริเวณนี้มีบริการบ้านพัก 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากใกล้ชิดกับช้างแบบสุด ๆ ด้านข้างจะมีหนองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า จุดนี้ช้างจะต้องลงมากินน้ำหรือเล่นน้ำบ้างในช่วงเย็น และต้องใช้ความความเงียบสงบในการดู เพราะช้างป่าเป็นสัตว์ที่ขี้ระแวงตกใจง่าย โชคดีมากเพราะเรารอเพียงไม่นาน ก็เห็นช้างป่าขนาดกลางตัวหนึ่งลงมาเล่นน้ำ ตื่นเต้นกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก



ห่างจากจุดนี้ไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะเป็นจุดชมฝูงวัวกระทิง โดยมีกล้องส่องทางไกลเป็นอุปกรณ์เสริม เพื่อเราจะได้มองเห็นกระทิงได้ชัดเจนขึ้น เพราะมันอยู่ไกลมาก ๆ เรียกว่าเขาคนละลูกเลยก็ว่าได้ ดูกระทิงกันจนเต็มอิ่มแล้วก็ถือว่าจบทริป กลับไปเอารถที่จอดไว้ยังหน่วยอุทยานฯ ด้านหน้า แต่ที่ไหนได้เรามีโชว์แถม เพราะระหว่างเส้นทางกลับเราพบกับช้างป่าหนุ่มเปรียว ที่กำลังกินหญ้าอยู่ริมข้างทาง จอดรถถ่ายได้แป๊ปเดียวพี่เจ้าหน้าที่ก็ค่อย ๆ เลื่อนรถไป เพราะช้างป่าเดินเร็วมาก


การเดินทางมาที่นี่หาไม่ยาก โดยใช้ถนนเพชรเกษมขับมุ่งหน้าลงใต้มายังอำเภอกุยบุรี ก่อนทางเข้าจะมีช้างปูนโขลงใหญ่ยืนเกาะกลุ่มเชิญชวนให้ไปเที่ยวกัน ก็เลี้ยวขวาเข้าไป ขับไปตามป้าย ชมช้างป่ากุยบุรี/บ้านรวมไทย มีป้ายบอกตลอดเส้นทางประมาณ 15 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-3264-6292
















แหล่งที่มา  http://www.dnp.go.th/parkreserve/asp/style2/default.asp?npid=117&lg=1

               http://travel.kapook.com/view30510.html









วัดถ้ำเขาม้าร้อง


วัดเขาถ้ำม้าร้อง ตั้งอยู่ในตำบลพงค์ประสาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ภายในถ้ำมีหลายคูหา มีหินงอกหินย้อยและมีผู้ดูแลติดตั้งไฟฟ้าเพื่อให้ส่องสว่างแก่นักท่องเที่ยว โดยภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูปปางสมาธิเรียงรายตลอดแนว อยู่ชิดผนังถ้ำด้านทางด้านหนึ่ง
มีหินย้อยรูปร่างลักษณะคล้ายหัวม้า อยู่ภายในถ้ำ หากเดินเข้าไปในถ้ำแล้วให้เดินตรงไปแล้วเลี้ยวไปทางขวามือ ประมาณ 20-30 เมตรให้เลี้ยวซ้ายจะเห็นลักษณะหินย้อยที่มีรูปร่างคล้ายหัวม้า
และมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่นำไปใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญ ๆ ต่าง ๆ เมื่อมีพิธีสำคัญ ๆ เมื่อไหร่ ทางวัดจะจัดพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อนำไปถวายแด่ในหลวง เช่นงานพิธีครบรอบ 60 พรรษา และ 72 พรรษา และ ที่น่าแปลกใจคือ น้ำที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะไม่มีวันแห้งเลย






วัดถ้ำม้าร้องแห่งนี้มีประวัติเป็นที่พักสงฆ์มาแต่โบราณกาล ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่แหลมทอง พระสงฆ์ชาวศรีลังกาและอินเดีย ได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนา ในประเทศไทยและประเทศพม่า พระสงฆ์ที่เผยแผ่พุทธศาสนา จึงใช้เป็นที่พักพิงในขณะเดินทาง
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ออกปราบพวกโจรตามหัวเมืองต่างๆ ในระหว่างปี พ.ศ.2385-2387 เจ้าพระยาบดินทรเดชา ได้นำทัพมาพักที่หนองหัดไทย ปรากฏว่าม้าของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้หายไป จึงได้สั่งให้ทหารออกตามหาแต่ก็ไม่พบ ได้ยินแต่เสียงม้าร้องภายในภูเขาลูกนี้ แม้นจะส่งทหารเข้าไปค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ แต่ได้ยินเสียงม้าร้องเท่านั้น ภูเขาลูกนี้จึงได้ถูกขนานนามว่า เขาถ้ำม้าร้อง


ปัจจุบัน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศเดินทางเข้ามาสัมผัสความสวยงามของ
หินงอกหินย้อยและบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์


บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์



เขาถ้ำม้าร้องมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากภายในมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำทิพย์ที่มีน้ำใสสะอาด มีน้ำตลอดทั้งปีไม่ว่าจะแห้งแล้งเพียงไร ซึ่งเป็นน้ำที่สำคัญ คือ น้ำทิพย์ภายในบ่อแห่งนี้ ได้นำไปประกอบพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครบรอบ 60 พรรษา 72 พรรษา ครบรอบทรงครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยนำไปเข้าพระราชพิธีพระพุทธมนต์ ซึ่งในแต่ละครั้ง วัดเขาถ้าม้าร้อง จะจัดพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อนำไปถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อย่างไรก็ดี วัดเขาถ้ำม้าร้อง ได้เปิดให้พุทธศาสนิกชน เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้ พร้อมกับอนุญาตให้นำน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในบ่อน้ำทิพย์กลับไปได้คนละ 1 ขวด เพื่อไปบูชา หรือประกอบพิธีทางศาสนา

นอกจากตัวถ้ำแล้ว บริเวณภายในวัดยังมีบ่อปลาที่มีอายุกว่า 10 ปี และมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเราสามารถซื้ออาหารปลามาทำบุญให้ปลาก็ได้ครับ



การเดินทาง
ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางสะพานไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร จะเจอป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวา เลี้ยวเข้าไปไม่เกิน 1 กิโลเมตร ก็จะข้ามทางรถไฟ พอข้ามทางรถไปก็ถึงวัดแล้วครับ

ค่าเข้าชม : ตามกำลังศรัทธา เพื่อเป็นค่าไปฟ้าส่องสว่างภายในถ้ำ







แหล่งที่มา  http://www.bangburdtour.com
                http://www.bangburdtour.com
                http://www.thai-tour.com

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557





พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าอัศจรรย์ของประเทศไทยมีอยู่มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งน่าเสียดายที่ในบางจังหวัดนักเดินทางเลือกที่จะท่องเที่ยวเพียงสถานที่ยอดฮิตจนมองข้ามสถานที่ดีๆแห่งอื่นไป วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปแนะนำอีกหนึ่งความอัศจรรย์ด้านการท่องเที่ยวของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดที่มีดีมากกว่าทะเลและแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างหัวหิน ในสถานที่ที่ถือเป็นความมหัศจรรย์แห่งเลข 5 และเลข 9 "พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ" ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า บนยอดเขาธงชัย บริเวณวัดทางสาย บ้านกรูด ต.ธงชัย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์






พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ จัดสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายเป็นพระราชกุศล เฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ซึ่งได้รับการออกแบบจาก ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี สถาปนิกประจำราชสำนัก และศิลปินแห่งชาติ ด้วยความพิถีพิถันและทุ่มเทออกแบบอย่างสุดฝีมือ จนถูกยกเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง โดยพระมหาธาตุเจดีย์เป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 9 มีความงดงามและโดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น คล้ายกับวิมานที่ลอยฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ”


ด้วยความสวยงามและโดดเด่นในทุกด้านของ พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ สถานที่นี้จึงถูกยกมาเป็นอีกหนึ่งความอัศจรรย์ที่ ททท.สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ยกให้เป็นหนึ่งในแคมเปญ "10 สิ่งมหัศจรรย์ ประจวบคีรีขันธ์ เที่ยวได้ทุกวัน เที่ยวได้ทุกวัย" การออกแบบพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศเป็นความตั้งใจของผู้สร้างให้ได้ใช้ประโยชน์ในทุกสัดส่วนให้มากที่สุดในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา โดยเจดีย์เป็นทรงระฆังตั้งอยู่บนฐานไพที รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 50 เมตร สูง 50 เมตร โดดเด่นด้วยหมู่พระเจดีย์ 9 องค์ เพียงแค่เห็นด้านนอกในระยะไกลระหว่างเดินทางเข้าไปชมด้านในก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ตระการตา เป็นพระมหาธาตุที่งดงามอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน








ภายในประกอบด้วยชั้นต่างๆ 5 ชั้น ชั้นล่างสุดชั้นที่ 1 ใช้เป็นที่เก็บกักน้ำฝนไว้ใช้งาน โดยพระมหาธาตุฯถูกออกแบบให้มีร่องระบายน้ำฝนจากด้านบนลงสู่ชั้นที่ 1 ได้หลายช่องทาง ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถงอเนกประสงค์ เป็นสถานที่ไว้ให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวใช้สำหรับประกอบกิจกรรมทางธรรมในวันสำคัญต่างๆทางศาสนา ชั้นที่ 3 เป็นวิหารที่มีความกว้างขวาง โอ่โถง ไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมสำคัญอย่างการรับผ้ากฐิน ผ้าป่า และฟังธรรมเทศนา แต่งเติมสีสันด้วยภาพจิตกรรมฝาผนังที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยด้วยภาพ ประเพณี การละเล่น ของแต่ละภาคที่รังสสรค์ออกมาได้อย่างสวยงาม ชั้น 4 เป็นชั้นของอุโบสถ ประดิษฐานพระประธานปรางค์ลีลา ไว้เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้เข้ามากราบไหว้สักการะ ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม เช่น ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่อยู่ด้านหลังขององค์พระประธาน ฯลฯ ซึ่งในชั้นนี้จะมีส่วนของระเบียงด้านนอกที่มองเห็นทิวทัศน์ทะเลได้อย่างสวยงาม


สำหรับชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ภายในบุษบก และประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำปางประจำพระชนมวาร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 9 ปี 8 เดือน 12 วัน (ระหว่าง13 พค.2538-25 มค.2548) ใช้งบประมาณการก่อสร้างที่ได้รับจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ที่ร่วมกันบริจาคมากกว่า 2 ร้อยล้านบาท ซึ่งในส่วนของชั้นที่ 5 จะเปิดให้พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยว ได้สักการะเฉพาะเทศกาลวันวิสาขบูชา จำนวน 3 วัน คือ ขึ้น 14 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี แต่ในส่วนของชั้นที่ 1 - 4 เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 - 17.00 น. และในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะมีการเปิดแสงไฟรอบพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ยลความงดงามยามค่ำคืนอีกด้วย


ไม่เพียงความงดงามของพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศเท่านั้นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ บริเวณลานกว้างด้านล่างก่อนที่จะถึงทางขั้นไปยังพระมหาธาตุเจดีย์ฯ ยังประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งทางคณะสงฆ์วัดทางสายร่วมกับชาวบ้านสร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ โดยสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกประธานถวายนามว่า “พระพุทธกิติสิริชัย” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแบบศิลปะคันธาระ ลักษณะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวมีริ้วจีวรเป็นผ้าทิพย์พระนามาภิไธย มีพระพักตร์ที่งดงามมาก องค์พระก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 5 วา มีความสูงพร้อมฐาน 9 วา หันพระพักตร์ออกสู่ทะเล คอยปกป้องดูแลชาวบ้านทั้งที่อยู่ในบริเวณและยามออกไปทำมาหากินในท้องทะเล




แหล่งที่มา http://www.dailynews.co.th/Content/Article/
               www.google.co.th/search?q=พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ
               http://www.suphanphotoclub.com/

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557


หาดดวนกร




มีหาดทรายขาวสะอาด สงบเงียบสวยงาม กว้างสุดสายตา น้ำทะเลใสสะอาด คลื่นแรงเหมาะแก่การเล่นน้ำ ตลอดแนวชายหาดมีทิวสนอันร่มรื่น มีบ้านรับรองและที่พักซึ่งเหมาะสำหรับพักค้างคืนเป็นหมู่คณะ ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 บ้านชายทะเล
ตำบลตำบลห้วยยาง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
แหล่งที่มา http://www.siamfreestyle.com

ตลาดโต้รุ่งหัวหิน




  เริ่มต้นจากที่เที่ยวที่แรก ตลาดโต้รุ่งหัวหิน เป็นตลาดกลางถนนเดชานุชิต ที่มีการปิดถนนไม่ให้รถผ่าน เพื่อทำเป็นถนนคนเดิน ให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้เดินจับจ่ายซื้อของกิน ของใช้ และของที่ระลึก โดยถนนดังกล่าวตัดตั้งฉากกับถนนเพชรเกษม จึงหาได้ไม่ยากนัก ตลาดเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 18.00–24.00 น. และหนึ่งในบรรดาร้านรวงต่าง ๆ ที่เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวต่างยกนิ้วให้ ก็คือ โรตีอินเตอร์ และไอศกรีมโฮมเมดร้านเจ๊นิ





          ที่อยู่ : ซ.หัวหิน 72 ถนนเดชานุชิต-ถนนพระปกเกล้าฯ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แหล่งที่มา http://photo.sadoodta.com
ชายหาดหัวหิน




สถานที่ยอดนิยมตลอดกาลของหัวหิน นั่นก็คือ ชายหาดหัวหิน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง มีทางลงหาดอยู่ที่ถนนดำเนินเกษม สองข้างทางลงหาดมีโรงแรมและร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก โดยหาดหัวหินมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ทรายขาวละเอียดเหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล


แหล่งที่มา http://promotions.co.th


ทวิมุข สปอร์ต คอมเพล็กซ์




ทวิมุข สปอร์ต คอมเพล็กซ์ สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬาอย่างครบครัน ทั้งโรงแรมที่พัก, ร้านอาหาร และสนามกีฬาต่าง ๆ เช่น เทนนิส, แบดมินตัน, เทนนิส และฟิตเนส ซึ่งภายในมีอาคารสำหรับจัดมุมภาพแกลลอรี่ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอำเภอหัวหิน ห้องไวน์ซึ่งมีหลากหลายรสชาติให้ท่านได้เลือกชิมลิ้มรสกันอย่างถูกใจ ห้องอาหาร พร้อมฟังเพลงและดนตรีไพเราะจับใจ แต่ถ้าใครที่อยากเที่ยวชมทัศนียภาพและเรื่องราวของเมืองหัวหิว ที่นี่ก็มีรถรางท่องเที่ยวคอยรับ-ส่ง พร้อมด้วยไกด์บรรยายเชิงประวัติศาสตร์ให้ได้สัมผัสกับกลิ่นอายทะเลและสถานที่สำคัญ ๆ ของเมืองหัวหินอีกด้วย





          เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้บริการตั้งแต่ เวลา 09.00-10.00 น.
          ที่อยู่ : 32/31 ถ.เพชรเกษม ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แหล่งที่มา http://4.bp.blogspot.com